เป็นอุโบสถต่อกับศาลาการเปรียญแบบชาวเหนือ สร้างด้วยอิฐ และปูน เพดานไม้ ประตูและหน้าต่างแกะสลักไม้ ศาลาการเปรียญ เป็นอาคารไม้ชั้นเดียวมุสังกะสี สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2516 กุฏิสงฆ์มีจำนวน 21 หลัง และศาลาพักศพ ปูชนียวัตถุมีเจดีย์ และพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งนำมาจากประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2529 และพระประธานขนาดใหญ่
พื้นที่บริเวณในวัด.....................................
เดิม เมื่อปี พ.ศ. 2464 พระครูกัณหาซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดสระแก้วในขณะนั้น และขุนเชียงสวัสดิ์ ได้ขยายอาราเขตวัดสระแก้วออกไปอีก 60 เมตร พร้อมกับได้ทำการรื้อศาลาวัดป่าเลยไลยก์ไปสร้างต่อเติม เป็นโรงเรียนปริยัติธรรมเพิ่มขึ้นที่วัดสระแก้ว เพราะวิตกว่าวัดป่าเลยไลยก์นับตั้งแต่พระอาจารย์เนาได้ลาสิขาออกมาแล้ว ไม่มีพระองค์ใดไปอยู่สืบต่อมาอีกเลย นับวันจะชำรุดทรุดโทรมเสียหายไปเรื่อยๆ ครั้นต่อมาในปีพ.ศ. 2507 นายบุ และนางอ่อนจันทร์ สมจิตพิจารย์ สองสามีภรรยาซึ่งได้อพยพไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในตัวจังหวัดอุดรธานี เป็นคหบดีที่มีจิตศรัทธาอันแรงกล้าต่อพระบวรพุทธศาสนา ได้สระกำลังกายกำลังใจกำลังทรัพย์ในการริเริ่มก่อสร้างอุโบสถ ซึ่งประกอบด้วยศาลาการเปรียญและกฏิขึ้นจนเป็นผลสำเร็จ และต่อมาจากการนำของกำนันทอง ใหญ่โสมานัง อาจารย์วิชัย เหง้าพรหมมินทร์ ตลอดทั้งชาวบ้านเชียง ได้ร่วมแรงร่วมใจ ซ่อมแซมอุโบสถจากของเดิมที่ทรุดโทรมขึ้นมาใหม่ ทำให้พระศาสนาเข้าเป็นศูนย์รวมจิตใจประชาชน
บริเวณอุโบสถของวัด...............
ลองมาเทียวกันนะครับ..................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น