วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2555

วัดป่าเทพประทานพร

                                                          วัดป่าเทพประทานพร


           วัดป่าเทพประทานพร  วัดนี้ตั้งอยู่หมู่  9 บ้านเชียง  เดิมทีเป็นป่าช้าของหมู่บ้าน  มีเนื้อทั่งหมดประมาณ 68 ไร่  ตั้งขึ้นเมื่อ พ.. 2515 

โดยการนำของหลวงปู่เหล็ก คือ มีพระมาประจำอยู่ 1 รูป และสามเณร 2 รูป คือ  สามเณรนิวาท  และสามเณรสมาน  วัดนี้แยกมาจากวัดสระแก้ว  ที่แยกมาเพราะบริเวณนี้เป็นป่าช้า  อีกทั้งสงบมาก เหมาะสำหรับจะเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม  และเพื่อเป็นการสงวนป่าไม้ไว้ด้วย  มีไม้ประดู่  ไม้แดง  ไม้จิก มีสัตว์ป่าธรรมชาติ  มีไก่ป่า 

วัดนี้สร้างศาลาการเปรียญเสร็จเมื่อปี พ.. 2530  พระประธานองค์ใหญ่สร้างในปี พ.. 2533 คือหลวงพ่อทอง หลวงพ่อยิ้ม  สร้าง 2 องค์


          วัดนี้ได้ตั้งให้เป็นวัดในพระพุทธศาสนา  ในวันที่  24 พฤษภาคม พ.. 2540  ได้รับการตั้งให้เป็นวัด ณ หมู่บ้านที่ 9 ตำบลบ้านเชียง  อำเภอหนองหาน  จังหวัดอุดรธานี มีนามว่า "วัดเทพประทานพร" ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่าวัดนี้เป็นวัดบ้านแต่ว่าชื่อเป็นวัดป่า  ที่เป็นเช่นนี้เพราะ ถ้ามีคำว่าวัดป่ามาด้วยจะตั้งเป็นวัดไม่ได้  มี พระครูวิระชัย วชิรญาโณ (เจ้าอาวาสปัจจุบัน) วัดนี้ได้รับการแต่งตั้งเป็นศูนย์พัฒนาจิตรเฉลิมพระเกียรติประจำจังหวัด อุดรธานี ในปี พ.. 2543  มีการทำบุญระหว่างวันที่ 9-19  พฤษภาคม ของทุกปี เป็นการปฏิบัติธรรมพิเศษ เข้าปริวาสกรรม บวชชีพราหมณ์มาจากทั่วไปรอบๆ จากทุกหมู่บ้าน


ภาพบริเวณในวัดป่าเทพประทานพร.........................................................

 


                                                          ลองเข้าไปทำบุญกันนะครับ.......  

วันศุกร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2555

วัดป่าเลย์ไลย์

                                      วัดป่าเลย์ไลยก์
                                      
         วัดป่าเลย์ไลยก์ วัดป่าเลไลยก์ ตั้งอยู่เลขที่ 42 บ้านเชียง หมู่ 11 ตำบลบ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย วัดนี้มีเนื้อที่ทั้งหมด 40 ไร่ 1 งาน 15 ตารางวา อาคารเสนาสนะประกอบด้วยอุโบสถ กว้าง 12 เมตร ยาว 19 เมตร สร้าง พ.ศ. 2515


เป็นอุโบสถต่อกับศาลาการเปรียญแบบชาวเหนือ สร้างด้วยอิฐ และปูน เพดานไม้ ประตูและหน้าต่างแกะสลักไม้ ศาลาการเปรียญ เป็นอาคารไม้ชั้นเดียวมุสังกะสี สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2516 กุฏิสงฆ์มีจำนวน 21 หลัง และศาลาพักศพ ปูชนียวัตถุมีเจดีย์ และพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งนำมาจากประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2529 และพระประธานขนาดใหญ่


                  พื้นที่บริเวณในวัด.....................................

เดิม เมื่อปี พ.ศ. 2464 พระครูกัณหาซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดสระแก้วในขณะนั้น และขุนเชียงสวัสดิ์ ได้ขยายอาราเขตวัดสระแก้วออกไปอีก 60 เมตร พร้อมกับได้ทำการรื้อศาลาวัดป่าเลยไลยก์ไปสร้างต่อเติม เป็นโรงเรียนปริยัติธรรมเพิ่มขึ้นที่วัดสระแก้ว เพราะวิตกว่าวัดป่าเลยไลยก์นับตั้งแต่พระอาจารย์เนาได้ลาสิขาออกมาแล้ว ไม่มีพระองค์ใดไปอยู่สืบต่อมาอีกเลย นับวันจะชำรุดทรุดโทรมเสียหายไปเรื่อยๆ ครั้นต่อมาในปีพ.ศ. 2507 นายบุ และนางอ่อนจันทร์ สมจิตพิจารย์ สองสามีภรรยาซึ่งได้อพยพไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในตัวจังหวัดอุดรธานี เป็นคหบดีที่มีจิตศรัทธาอันแรงกล้าต่อพระบวรพุทธศาสนา ได้สระกำลังกายกำลังใจกำลังทรัพย์ในการริเริ่มก่อสร้างอุโบสถ ซึ่งประกอบด้วยศาลาการเปรียญและกฏิขึ้นจนเป็นผลสำเร็จ และต่อมาจากการนำของกำนันทอง ใหญ่โสมานัง อาจารย์วิชัย เหง้าพรหมมินทร์ ตลอดทั้งชาวบ้านเชียง ได้ร่วมแรงร่วมใจ ซ่อมแซมอุโบสถจากของเดิมที่ทรุดโทรมขึ้นมาใหม่ ทำให้พระศาสนาเข้าเป็นศูนย์รวมจิตใจประชาชน

              บริเวณอุโบสถของวัด...............





ลองมาเทียวกันนะครับ..................................


วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2555

วัดสระแก้ว



                                            วัดสระแก้ว







        วัดสระแก้ว (วัดนอก)  ตั้งอยู่เลขที่ 140 บ้านเชียง  ถนนสุทธิพงษ์  หมู่ 12  ตำบลบ้านเชียง  อำเภอหนองหาน  จังหวัดอุดรธานี  สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย  ที่ดินตั้งวัดมีเนื้อที่  11 ไร่  1 งาน 7 ตารางวา  อุโบสถ สร้าง พ.ศ. 2530  เป็นอาคารทรงไทยว้าง 10 เมตร  ยาว   23  เมตร  ภายในมีจิตรกรรมฝาผนังเรื่องพุทธประวัติ

              ศาลาการเปรียญเป็นอาคารไม้ทรงไทย  หลังคามุงกระเบื้อง  กุฏิสงฆ์ จำนวน หลัง  เป็นอาคารครึ่งตึกครึ่งไม้  วิหารเป็นอาคารทรงไทยหลังคามุงสังกะสี  สร้าง พ.ศ. 2529  ปูชนียวัตถุมีพระพุทธรูปปางต่างๆ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา  เมื่อวันที่  13  พฤษภาคม พ.ศ. 2528 เขตวิสุงคามสีมา  กว้าง 40 เมตร  80 เมตร วัดสระแก้ว มีประวัติความเป็นมา คือ เมื่อปี พ.ศ. 2430  มีหัวซาคุณ หัวซาคุณนี้บวชเป็นพระติดตามพี่ชายมาอยู่ที่บ้านเชียง (น้องนายของกำนันขุนเชียงสวัสดิ์) มาพบเห็นบริเวณหนองน้ำอยู่กลางดง หนองน้ำใสเปรียบประดุจแก้วบางใส  สัตว์ป่าได้อาศัยหนองกลางดงนี้ดื่มกิน   จารย์ซาสุก คือ หัวซาสุก(นามสกุล พลเชียงดี) และหัวซากัณหา (พระครูกัณหา) มาบวชอยู่ที่วัดหนองกลางดงนี้ และมีจารย์ซาคุณเป็นเจ้าอาวาสรูปแรก พระ 3 รูปนี้  ได้ช่วยกันนำชาวบ้านให้รู้จักเข้าวัด  ฟังธรรม ปฏิบัติตนในศีลธรรมอันดีงาม  ต่อมาเมื่อเห็นว่าน้ำในหนองกลางดงแห้งขอดในฤดูแล้ง  จึงได้วานญาติโยม  ขุดสระขึ้นเองกลางดงนี้  ให้เป็นสระน้ำ และให้ชื่อว่าสระแก้ว  ต่อมาจารย์ซาคุณ  เจ้าอาวาสได้ลาสิขาจากวัด  หัวซาสุกจึงเป็นเจ้าอาวาสรูปที่ แต่อยู่ไม่ได้นานก็ลาสิกขาบทมาตั้งถิ่นฐานจับจองที่ดินข้างวัดสะแก้วเป็น นักปราชญ์อาจารย์ผู้หนึ่งของบ้านเชียง  และเอาใจใส่บำรุงวัด  ศาสนาไปด้วย  หัวซากัณหา ก็เลื่อนเป็นเจ้าอาวาสรูปที่ 3 ท่านเป็นพระนักพัฒนา ทางหมู่บ้านก็มีกำนันขุนเชียงสวัสดิ์ได้นำชาวบ้านบำรุงวัดในหมู่บ้าน  ได้เอาใจใส่ดูแลเป็นประจำ  อีก 7 ปี ต่อมา หัวซากัณหา ที่ชาวบ้านเรียกกันก็ได้เลื่อนสมศักดิ์เป็น พระครูพิมลธรรมประกาศ  ได้เชิญชวนชาวบ้านสร้างโบสถ์ขึ้นเมื่อปี 2540  และได้ขอพระราชทาน  พระบรมราชานุญาตให้มีเขตวัด (วิสุงคามเสมา ) กับขนานนามวัดเป็นทางการว่าวัดสระแก้ว  เมื่อได้รับพระราชทานวิสุงคามเสมา  จึงทำบุญฉลองโบสถ์ ปิดทองลูกนิมิต ชาวบ้านเรียกว่า  บุญขอดสิม  วัดสระแก้วในครั้งนั้นเล่ากันว่า  ต้องเลือกผู้บริสุทธิ์  คือผู้ไม่เคยล่วงในกามวิสัย  ไม่เคยลักขโมยตั้งแต่เกิดมา จนกระทั้งอายุครบปีบวช  และเป็นผู้ที่ควรเชื่อถือได้ด้วย  บรรดานาคทั้งหลายที่บวชในโบสถ์แห่งนี้  เมื่อ พ.ศ. 2460  มีนาคคนหนึ่งชื่อ จันทา (พ่อตู้แดง) ได้รับเกียรติให้เป็นผู้ขอดสิมในครั้งนั้น  เมื่อบวชเป็นพระแล้วเวลานั้นเรียกว่า เจ้าหัว เมื่อสิ้นบุญพระครูกัณหา (พระครูพิมลธรรมประกาศองค์แรก) ญาติโยมชาวบ้านเชียง ได้พร้อมใจกันไปนิมนต์ พระพิมลธรรมประกาศ (ขาว เขมิโก) ซึ่งเป็นพระที่นิยมนับถือกันมา  เล่าลือว่าเป็นพระที่ปฏิบัติอยู่ในศีลธรรมเป็นอย่างดีมาจากวัดบ้านทุ่งฝน (อำเภอทุ่งฝนในปัจจุบัน) นิมนต์มาเป็นเจ้าอาวาสวัดสระแก้วรูปที่ 4 จนมรณภาพ ในปี 2522  และได้รับพระราชทานเพลิงศพเป็นรูปแรกในตำบลบ้านเชียง  ต่อมาพระมหาสำลีจึงได้ตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสคนที่ วัดสระแก้วได้บูรณะวัดสระแก้วขึ้นใหม่หลายอย่าง เช่น สร้างโบสถ์ที่ทันสมัยขึ้นสำเร็จ ก่อนมรณภาพ และศาลาการเปรียญในปัจจุบัน เจ้าอาวาสคนปัจจุบัน คือ ท่านพระครูพิทักษ์ธรรมรังสี
 



                         





  ภาพบริเวณในวัดสระแก้ว..............





วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2555

วัดสันติวนาราม พุทธอุทยานอิสานเขียว

ชื่อสำนักปฏิบัติธรรม  วัดสันติวนาราม พุทธอุทยานแห่งที่  7
สังกัด   พระมหานิกาย    ตั้งอยู่ บ้านดงไร่  หมู่  ๑๑  ต.บ้านเชียง อ.หนองหาน จ.อุดรธานี   ๔๑๓๒๐โทร  ๐๘๙ ๘๔๐๘๘๑๓  /  ๐๘๖ - ๒๒๙๗๗๓๙
ได้รับการจัดตั้งเป็นสำนักปฏิบัติธรรม ประจำจังหวัด  อุดรธานี   เมื่อ   พ.ศ.  ๒๕๔๘
บริเวณสถานที่ โดยสังเขป   สำนักปฏิบัติธรรม วัดสันติวนาราม

      บริเวณสำนักปฏิบัติธรรมแห่งนี้   มีความ  สงบ  ร่มรื่น  สวยงาม  สิ่งอำนวยความสะดวกสบาย  ห่างจากชุมชน ๓  กิโลเมตร   ตั้งอยู่   ป่าดงไร่ หรือแด่แก่เป็นทำเลเลี้ยงสัตว์  ชาวบ้านชอบเรียกกันว่า ดงไร่  หมู่ที่ ๑๑  ต.บ้านเชียง  อ.หนองหาน  จ. อุดรธานี   
 
มีทะเบียนวัดถูกต้องตามกฎมหาเถระสมาคม   บนพื้นที่  ๑,๓๕๐  ไร่ อยู่ทางทิศเหนือของหมู่บ้านเชียง ตำบลบ้านเชียง (หมู่บ้านมรดกโลก ไหลาย  คนแปดศอก)   เป็นป่าไม้ธรรมชาติ  ๑,๐๐๐  ไร่ เป็นหนองน้ำ  ๑๐๐  ไร่    เป็นสถานที่ปลูกสร้างเสนาสนะ และลานเอนกประสงค์  ๑๓๐  ไร่    มีน้ำใช้สะดวกสบายตลอดปี    ใช้ไฟฟ้า   การสัญจรไปมามีถนนลาดยางถึงวัด   พื้นที่ทั้งหมดของสำนัก  ๑,๓๕๐  ไร่   ด้านหน้าล้อมด้วยกำแพงคอนกรีต  รอบข้างอีกสามทิศล้อมด้วยลวดหนาม  ๗  เส้นเสาปูนคอนกรีตเสริมเหล็กมีสัตว์ป่าธรรมชาติ เช่น กวาง  หมี นกนานาชนิดนกน้ำมากมาย  ฯลฯ  


นกยูงบรเวณในวัดสันติวนาราม.............................


อุโบสถกลางน้ำรูปดอกบัวซึ่งกำลังก่อสร้าง................



พระพุทธรูปปรางนาคปรกบริหนองน้ำ...............



จิตรกรรมฝาผนังในอุโบสถรูปดอกบัว..............



ที่วัดสันติวนารามนอกจากได้ทำบุญยังได้ดูสัตว์ต่างๆที่อาสัยในวัดอีกด้วยลองไปเที่ยวกันนะครับ...

วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2555

บ้านไทพวน

       

     บ้านไทพวน 


       บ้านไทพวนหลังนี้เดิมเป็นบ้านของคุณพจน์ มนตรีพิทักษ์ เป็นแหล่งขุดพบโบราณวัตถุของคนยุคก่อนประวัติศาสตร์จำนวนมาก ลักษณะของบ้านไทพวน เป็นเรือนไม้ หลังคาจั่วมุงแป้นเกล็ดยกใต้ถุนสูง ตัวเรือนแต่ละหลังเชื่อมต่อกันด้วยชานไม้ และมียุ้งข้าวแยกต่างหากอีกหลังหนึ่ง เรือนชาวไทพวนจะใช้บันไดพาดกับชานด้านหน้าในการขึ้นลง และจะเก็บบันไดขึ้นบนเรือนในตอนกลางคืนเพื่อความปลอดภัย เป็นรูปแบบหนึ่งของเรือนพื้นถิ่นในประเทศไทย ซึ่งกรมศิลปากรได้จัดบ้านหลังนี้เป็นส่วนหนึ่งในการจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับแหล่งมรดกโลกบ้านเชียง ในแง่มุมของวิถีชีวิตชาวไทพวน


            บ้านไทพวนในปัจจุบัน ยังคงมีการเก็บรักษาและบูรณะเสมอ............


หน้าบ้านไทพานที่มการขุดค้นทางโบราณคดี..........




บ้านไทพวนเป็นการสร้างบ้านแบบใช้ไม้ทั้งหลัง ในปัจจุบันก็ได้มีการพยามยามให้อนุรัษ์บ้านไทพวน
โดยมีการประยุกต์การสร้างบ้านในปัจจุบันเข้ากับบ้านไทพวน บริเวณด้านหน้าได้มีการทำการขุดค้นทางโบรณคดีในสมัยก่อน มีการพบหลักฐานมากมาย บริเวณใต้ถุนบ้านก็มีก็ไว้ใช้ประโยชน์หลายๆด้านเช่น เลี้ยงสัตว์ ที่ทอผ้า นั่งเล่นเป็นต้น

        ลักบณะการสร้างบ้านไทพานในสมัยก่อนที่ยังหลงเหลืออยู่......................

บริเวณบ้านไทพวนของนาย พจน์ มนตรีพิทักษ์........




 ถ้าใครอยากเห็นบ้านไทพวนในสมัยโบราณที่ยังหลงเหลืออยู่ลองมาเที่ยวที่บ้านเชียงนะคับ....................................................

วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2555

     วัดโพธิ์ศรีใน บ้านเชียง พิพิธภัณฑสถานกลางแจ้งแห่งแรกของประเทศไทย

                  หลุม ขุดค้นทางโบราณคดีที่วัดโพธิ์ศรีใน  ตั้งอยู่ภายในวัดโพธิ์ศรีใน ซึ่งอยู่ห่างจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเชียง ไปทางทิศตะวันออก ประมาณ ๕๐๐ เมตร เป็นสถานที่สำคัญหนึ่งที่เก็บรักษาศิลปะเครื่องปั้นดินเผาของบ้านเชียงที่ เปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถไปเยี่ยมชมได้ และ ยังเป็นสถานที่ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเสด็จมาทอดพระเนตรการทำงานของนักโบราณคดี ในวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๑๕ กรมศิลปากรโดยได้ดำเนินการปรับปรุงหลุมขุดค้นที่วัดโพธิ์ศรีใน และเก็บรักษาหลักฐานทางโบราณคดีไว้ในสภาพดั้งเดิม โดยจัดแสดงในรูปแบบของพิพิธภัณฑสถานกลางแจ้งแห่งแรกของประเทศไทย


ศาลาบริเวณด้านในของวัดโพธิ์ศรีใน


           วัดโพธิ์ศรีใน ตั้งอยู่บ้านเลขที่ 90 บ้านเชียง ถนนโพธิ์ศรีใน หมู่ที่ 11 ตำบลบ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี สร้างเมื่อ พ.ศ. 2390 เดิมชื่อวัดใน เพราะตั้งอยู่กลางชุมชนต่อมาได้ย้ายมาตั้งอยู่ ณ ที่ปัจจุบันนี้ เมื่อ พ.ศ. 2515 พระครูวิมลปัญญากร (เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันได้ให้ความอนุเคราะห์บริจาคที่ดินให้กรมศิลปากรทำการ ขุดค้นทางโบราณคดี ต่อมาจัดเป็น พิพิธภัณฑสถานกลางแจ้งหลุมขุดค้นวัดโพธิ์ศรีใน และเปิดให้เข้าชมจนถึงปัจจุบัน ภายในวัดมีบรรยากาศที่เงียบสงบดี มีต้นโพธิ์ต้นใหญ่เป็นสัญลักษณ์ของวัดโพธิ์ศรีใน


                                           บริเวณใต้ต้นโพธิ์ของวัด.......
    

   บริเวณภายในของหลุมขุดค้นที่วัดโพธิ์ศรีใน......
                         

 สิ่งที่แสดงว่าได้เป็นมรดกโลก......



โบสถ์บริเวณวัดโพธิ์ศรีใน......







ลองมาเที่ยวกันนะคับ.....................................